ดอกแอสเตอร์คละสี (10 ซองแถม 1 ซองคละได้)
แอสเตอร์ บรรจุ - 100 เมล็ด
*หมายเหตุ* ต้นสูงประมาณ 60-65 เซ็นติเมตร
ปลูกได้ตลอดทั้งปี อายุดอก 60-65 วัน
คละสี ขาว แดง ม่วง สินค้าบรรจุใส่ซองใส 🍀🌺🌸🌼#แอสเตอร์ ( Aster) ชื่อวิทยาศาสตร์:Symphyotrichum ericoides (L.) G.L.Nesom #แอสเตอร์จีน ชื่อสามัญ China Aster ลักษณะของแอสเตอร์ ต้นแอสเตอร์ เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของประเทศญี่ปุ่นและจีน ชาวยุโรปจะเรียกแอสเตอร์ว่า “สตาร์เวิร์ท แอสเตอร์” เพราะมีลักษณะดอกคล้ายกับดวงดาว ส่วนเวิร์ทนั้นหมายถึงราก ใช้กับต้นไม้ที่มีสรรพคุณในทางยา ต้นแอสเตอร์จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีอายุเพียงหนึ่งปี รากเป็นระบบรากแก้ว ลำต้นจะแตกกิ่งก้านสาขามาก มีความสูงของลำต้นประมาณ 1-2 ฟุต มีขนเล็กน้อยตามลำต้น การขยายพันธุ์แอสเตอร์ สามารถทำได้ 3 วิธี คือ การเพาะเมล็ด การแยกหน่อ และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แต่การเพาะเมล็ดจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะต้นแอสเตอร์จะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ที่มีอินทรีวัตถุสูง ระบายน้ำได้ดี แอสเตอร์ ชอบความชื้นปานกลางและแสงแดดจัด ในระยะยังเป็นกล้าไม่ควรให้น้ำมากจนเกินไป หลังจากการย้ายปลูกลงในกระถางหรือแปลงปลูกแล้วจึงควรรดน้ำให้โชก ถ้าเป็นไปได้ควรรดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้งในตอนเช้า เมื่อดอกแอสเตอร์เริ่มบานแล้ว และไม่ควรจะรดน้ำให้โดนดอก เพราะจะทำให้ดอกเน่าและเป็นโรคได้ง่าย ใบแอสเตอร์ลักษณะของใบเป็นใบเดี่ยว การจัดเรียงของใบเป็นแบบสลับ ใบที่โคนจะออกรอบลำต้นติดกับพื้นดิน ส่วนใบถัดมาจะออกเรียงเวียนสลับเป็นรูปลูกข่าง ลักษณะของใบจะเป็นรูปไข่หรือรูปช้อน ปลายใบแหลม มีลักษณะโคนใบสอบแคบติดกับก้านใบ ส่วนขอบใบจัก ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-4 ซม.และยาวประมาณ 3-6 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียว ที่ก้านใบจะมีปีกแคบ ๆ ติดอยู ดอกแอสเตอร์ ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวบริเวณส่วนยอดของลำต้น ดอกแอสเตอร์ มีหลายสี เช่น สีขาว สีครีม สีเหลือง สีชมพู สีแดง สีม่วง สีน้ำเงิน ตรงกลางดอกมีลักษณะเป็นสีเหลือง ดอกแอสเตอร์พันธุ์ดั้งเดิมนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 สี คือ สีขาวและสีม่วงอ่อน กลีบดอกมีชั้นเดียวคล้ายดาว ปัจจุบันดอกแอสเตอร์ที่ปลูกกันอยู่ในปัจจุบันนี้จะเป็นพันธุ์ลูกผสมทั้งสิ้น ทำให้ดอกแอสเตอร์ มีหลายรูปแบบ กลีบดอกซ้อนหนาและมีสีสันสวยงาม · แอสเตอร์จีน (Callistephus chinensis) จะนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ตัดดอก ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์พาวเดอร์พัฟท์ เป็นพันธุ์ดอกใหญ่ – มีลำต้นเป็นทรงพุ่มเตี้ยสูงได้ประมาณ 1-2 ฟุต ดอกมีขนาดประมาณ 3-3.5 นิ้ว มีกลีบดอกสั้นบิดเล็กน้อย กลีบดอกจะซ้อนกันแน่น นิยมปลูกเพื่อตัดดอก พันธุ์สีแดงไส้เหลือง พันธุ์ดอกเล็ก มีลักษณะของลำต้นเป็นพุ่มเตี้ย สูงประมาณไม่เกิน 2 ฟุต แต่มีขนาดของดอกเล็กกว่าพันธุ์พาวเดอร์พัฟท์โดยจะมีขนาดประมาณ 1-1.5 นิ้ว พันธุ์นี้กลีบดอกชั้นนอกจะเป็นสีแดง ส่วนชั้นในเป็นสีเหลือง นิยมปลูกเพื่อตัดดอกจำหน่าย #เมล็ดพันธุ์ #เมล็ดดอกไม้ #เมล็ดผัก #เมล็ดพันธุ์แบ่งขายราคาถูก
อัตรางอก 80 %
ดินที่ใช้ปลูก ต้องเป็นดินร่วนซุยมีอินทรีย์วัตถุสูง ระบายน้ำดี ความเป็นกรด-ด่าง ของดิน 6.5-7.0 ดังนั้นเราจึงต้องมีการปรับปรุงดินให้เหมาะสมก่อนปลูก และไม่ควรให้น้ำมากเกินไป โดยเฉพาะในขณะที่เป็นต้นกล้า และแอสเตอร์ยังโตไม่พอเพราะจะทำให้เป็นโรคเน่าได้ง่าย ควรที่จะมีการคลุมดินเพื่อลดความร้อนบริเวณราก เนื่องจากระบบรากตื้น
การเตรียมแปลงปลูก กว้างประมาณ 1 เมตร ใช้ระยะปลูก 20 x 20 25 x 25 25 x 30 ซม. ก็ได้รองก้นหลุมด้วยปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 1 ช้อนโต๊ะ ปุ๋ยร็อคฟอสเฟต อัตรา 1 ช้อนชา ปุ๋ยคอก อัตรา 1 กำมือ นำต้นกล้าจากถุงชำ หรือจากแปลงเพาะมาปลูก ถ้าย้ายปลูกลงแปลงเลยควรจะย้ายในช่วง
เย็น อย่าปลูกให้ลึกเพราะว่าเวลาให้น้ำจะทำให้ดินกลบยอดต้นกล้า จะเน่าตายภายหลังได้ รดน้ำให้ชุ่ม ในกรณีที่ทำเป็นไม้ประถาง ใช้กระถางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว วิธีปลูกปฏิบัติเช่นเดียวกัน ช่วงเวลาปลูกที่เหมาะสมคือช่วงฤดูหนาว ดอกจะได้ใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่พอดี
การดูแล
1. การให้น้ำ ในระยะกล้าไม่ควรให้น้ำมากเกินไป หลังจากย้ายปลูกลงในกระถางหรือลงแปลงปลูก
แล้วควรรดน้ำให้โชกถ้าเป็นไปได้ควรรดน้ำวันละครั้งในตอนเช้า เมื่อดอกเริ่มบานไม่ควรรดน้ำให้
โดนดอกเพราะจะทำให้ดอกเน่าและเป็นโรคง่าย ช่วงติดเมล็ดรดน้ำให้สม่ำเสมอมิฉะนั้นจะทำให้
การติดเมล็ดไม่ดี
2. การใส่ปุ๋ย ในระยะกล้าควรใช้ยูเรียละลายน้ำในอัตรา 1-2 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร รดให้ทั่วแล้วรดน้ำตามอีกครั้ง ควรรดปุ๋ยทุก ๆ 5-7 วัน จะทำให้กล้าโตเร็ว หลังจากย้ายกล้าแล้วประมาณ 30
วันให้ปุ๋ยสูตร 12-24-12 15-15-15 15-30-15 อัตรา 1 ช้อนชาต่อต้น โดยรอบโคนต้นแนว
รัศมีทรงพุ่มกลบด้วยดิน แล้วใส่หลังจากนั้นทุก ๆ 15วัน นอกจากนี้ควรจะใช้ปุ๋ยทางใบ เช่น ปุ๋ย
เกล็ดเชลล์ เวลโกร ไบโฟลาน หรือราพีด อัตรา 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 5 ลิตร ฉีดพ่นหรือรดไปบนต้น ทุก ๆ 3 วัน