ps5 world war z aftermath ( english zone 2 )
https://www.youtube.com/watch?v=vujdpA5KLrI
ตัวเกมปล่อยออกมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่า ทางผู้พัฒนาจะยังคงอัปเดตและดูแลตัวเกมอยู่เสมอ จนกระทั่งมาถึงส่วนเสริมชุดใหญ่ของเกม เมื่อเหล่าซอมบี้ยังคงเดินหน้ายึดครองโลกด้วยจำนวนมหาศาล Aftermath จะพาผู้เล่นเดินทางไปอีก 2 ประเทศ เพื่อเอาตัวรอดและรับมือกับมหาวิบัติครั้งนี้ ส่วนเสริมใหม่อย่าง Aftermath จะคุ้มค่า คุ้มราคาหรือไม่ วันนี้มาดูกันใน World War Z: Aftermath และเราต้องย้ำกันอีกครั้งว่า World War Z: Aftermath ไม่ใช่เกมใหม่ ไม่ใช่ภาคใหม่ แต่ Aftermath คือ DLC และส่วนเสริมของเกมหลักเท่านั้น
STORY
หากใครเคยเล่นเกม World War Z มาก่อนแล้ว จะรู้ว่าเนื้อเรื่องหลักของเกมนี้ ไม่ได้เป็นเส้นตรง หากอิงตามต้นฉบับนิยายของ Max Brooks เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน World War Z นั้น ไม่ใช่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่เป็นโลกทั้งใบที่ได้รับหายนะจากการรุกรานของเหล่าซอมบี้ ตัวเกมก็จะดำเนินเรื่องคล้ายกัน การมาถึงของส่วนเสริม Aftermath นี้ จะเพิ่มเนื้อหาเข้ามา 2 Episode คือกรุงโรมของอิตาลี และคัมชัตคาของประเทศรัสเซีย โดยคัมชัตคานั้นจะมีเนื้อหาต่อจาก Episode 4 ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
ปัญหาของการเล่าเรื่องแบบแยกประเทศกันแบบนี้ เพื่อเคารพต้นฉบับนิยาย แต่พอมาอยู่ในรูปแบบเกมมันกลับทำให้ผู้เล่นไม่อิน และไม่ได้รู้สึกว่ามีส่วนร่วมใด ๆ กับเหตุการณ์ภายในเกมเลยแม้แต่น้อย ทำให้เหมือนกับเป็นเกมเล่นจบเป็นรอบ เป็นด่าน ๆ ไปมากกว่า และในแต่ละประเทศก็จะมีกลุ่มผู้รอดชีวิตอีกหลากหลายคน ซึ่งจะมีปูมหลังเป็นของตัวเองผ่านวิดีโออนิเมชั่นขนาดสั้น น่าเสียดายที่ หากทำให้ดีนั้น เนื้อเรื่องของเกมก็จะน่าสนใจได้ แต่เพราะการเคารพต้นฉบับนิยาย และความหลากหลายให้กับตัวเกม ด้วยฉากในประเทศหลาย ๆ ประเทศ ทำให้การเล่าเรื่องดูด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็อาจบอกได้ว่า คงไม่มีใครอยากจะซื้อ World War Z มาเพื่อนั่งเสพเนื้อเรื่องกันอยู่แล้ว เมื่อจุดเด่นที่เห็นกันมาตั้งแต่เกมออก คือการยิงฝูงซอมบี้จำนวนมหาศาลอยู่ดี
PRESENTATION
ตามที่กล่าวไปในส่วนของเนื้อเรื่อง ใน World War Z เราจะได้เล่นฉากต่าง ๆ ในแต่ละประเทศทั่วโลก แต่ด้วยความที่เป็นส่วนของ DLC Aftermath สองประเทศที่เราจะได้ไปเล่นก็คือกรุงโรมของอิตาลี และคัมชัตคาของรัสเซีย ที่น่าสนใจคือภารกิจในประเภทใหม่ที่แม้จะได้แรงบันดาลใจจากเกมอื่นมา อย่างเช่นกันดันรถที่คล้าย ๆ กับการดัน Payload ใน Overwatch แต่อันนี้จะมีฝูงซอมบี้จำนวนมหาศาลคอยมากดดันเราแทนจากทุกสารทิศ หรือในคัมชัตคาของรัสเซียที่มีอากาศหนาวเย็น และผู้เล่นจะต้องคอยเคลื่อนที่ไปข้างหน้าพร้้อม ๆ กับการหา Heater ทำความร้อนด้วย ก็เป็นความพยายามที่จะแปลกใหม่ของ World War Z ดี ส่วนเอกลักษณ์เดิม ๆ นั้นยังมีครบ เช่นการเปลี่ยนเกมไปเป็นแบบ Tower Defense นิด ๆ ในบางช่วงสำคัญ ที่เราจะต้องหาแผงไฟฟ้า หาป้อมปืน มาตั้งรับมือกับฝูง Swarm ที่จะแห่กันมาแบบมืดฟ้ามัวดินเป็นต้น
ยังมีภารกิจแปลก ๆ ที่ให้เราคอยวิ่งเสิร์ฟของให้กับ NPC ท่ามกลางฝูงซอมบี้ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ท้าทายใช้ได้ เพราะแม้จะเล่นระดับง่าย แต่ถ้าหากขาดการสื่อสารและรู้ว่าต้องทำอะไรในฉากนั้น เราอาจจะเสียเวลา เสียไอเทมมากกว่าที่ควรจะเป็น แม้เปลือกนอกของเกมจะดูเป็นเกมยิงซอมบี้เดือด ๆ แต่ระบบในเกมเองก็ต้องอาศัยทีมเวิร์คไม่น้อยเลยเหมือนกัน
อีกไฮไลท์ความน่าสนใจของ Aftermath คือ การมาของมุมมอง FPS ที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้กับเรามากยิ่งขึ้น แต่ต้องบอกว่าอย่าคาดหวังอะไรมาก เพราะเหมือนตัวเกมไม่ได้ตั้งใจจะใส่เข้ามาแต่แรก พอจะหาวิธีใส่เข้ามา เลยทำง่าย ๆ แบบเป็นฟังก์ชั่นเปิด-ปิด ได้ด้วย Setting และถึงแม้ว่าเราจะเล่นมุมมอง FPS ได้ แต่เราก็ไม่สามารถเข้าลำกล้องปืน หรือ Aim Down Sight ได้ แม้แต่ Iron Sight ก็ไม่สามารถยกปืนขึ้นมาเล็งได้ มุมมอง FPS ของเกมนี้ เวลาคลิกขวา มันจะเป็นการซูมหน้าจอเข้าไปใกล้ ๆ แทน คล้าย ๆ กับเกม Left 4 Dea ซึ่งมันอาจจะตกยกไปแล้ว แถมยังทำให้เกิดปัญหาการเล่นเช่น มองไม่เห็นซอมบี้ที่ข้างหลัง หรือมองไม่เห็น Objective บางอย่างที่สลับไปมาตลอดเวลาในบางฉาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นการเพิ่มทางเลือกสำหรับคนที่อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง แม้จะทำออกมาได้ไม่ค่อยดีนัก แต่การเผชิญหน้ากับเหล่าซอมบี้จำนวนมหาศาลด้วยมุมกล้องแบบ FPS World War Z น่าจะให้อารมณ์ร่วมที่ต่างจากเกมยิงซอมบี้เกมอื่นพอสมควร
และคลาสใหม่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ Vanguard สายอาชีพใหม่ประจำเกมที่ถูกเพิ่มเข้ามา โดยมีความสามารถในการกางโล่ไฟฟ้าแล้วชาร์จบุกฝ่าดงซอมบี้จนกระจุยกระจาย ในตัวอย่างอาจจะดูเท่ แต่การใช้งานจริงกลับไม่ค่อยเวิร์คสักเท่าไร เพราะหาโอกาสใช้ได้น้อยมาก ทำให้มันกลายเป็นคลาสที่ไม่ค่อยจะได้รับความนิยมนัก คนยังคงกลับไปเล่นคลาสเก่า ๆ อย่าง Gunslinger Medic กันอยู่ดี เผลอ ๆ Dronemaster อาจจะยังมีคนเล่นเยอะกว่าด้วยซ้ำไป
นอกจากโหมดเนื้อเรื่องที่เพิ่มมาสองฉากแล้ว โหมดอื่น ๆ อย่าง Horde Mode หรือ Multiplayer ก็ไม่ได้เพิ่มเนื้อหาใหม่ใด ๆ เข้ามา หากเล่นที่ความยากระดับง่ายสูง DLC Aftermath อาจใช้เวลาในการเล่นจนจบ 2 Episode 6 ฉากย่อยในเวลาราว ๆ 2 ชั่วโมงเท่านั้น มองที่ราคา 269 บาท (สำหรับคนที่มีตัวเกมอยู่แล้ว และซื้อตัวอัปเกรดบน Epic Games Store) และได้มุมมอง FPS กับเพิ่มคลาสใหม่ Vanguard เข้ามา ก็ถือว่าสมราคา